ทางด้านDisney มีแผนปลดพนักงานกว่า 7,000 คน หลังสูญเสียผู้ใช้ Disney+ ไป 2.4 ล้านคน
ทางด้าน Disney ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2023 ที่ได้ บ๊อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) กลับมารับตำแหน่งซีอีโออีกครั้ง โดยระบุว่ามีจำนนวนผู้สมัครบริการ Disney+ ทั้งสิ้น 161.8 ล้านคน ซึ่งลดลง 2.4 ล้านคนจากเมื่อไตรมาสที่ก่อนที่มีผู้สมัครบริการ 164.2 ล้านคน
และนี่ถือได้ว่าเป็นการสูญเสียผู้สมัครบริการของ Disney+ ครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มให้บริการเมื่อปี 2019 เป็นต้นมา
จำนวนผู้สมัครบริการที่ลดลงนั้น เป็นผลมาจากจำนวนผู้สมัครบริการ Disney+ Hotstar (บริการสตรีมมิงสำหรับตลาดอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) โดยมีจำนวนลดลง 3.8 ล้านคน จากเมื่อไตรมาสก่อนที่มีผู้สมัคร 61.3 ล้านคน แต่ในขณะเดียวกัน Disney+ ก็มีผู้สมัครบริการในสหรัฐฯ และแคนาดา เพิ่มขึ้น 200,000 คน
และอีกปัจจัยหนึ่งคือการปรับค่าบริการแบบไม่มีโฆษณาขึ้นเป็น 11 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 370 บาทต่อเดือน) และเปิดให้บริการแบบมีโฆษณา 7.99 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 270 บาทต่อเดือน) ซึ่งนักวิเคราะห์เคยวิเคราะห์ก่อนหน้านี้แล้วว่าอาจทำให้จำนวนผู้สมัครบริการของ Disney+ ลดลงประมาณ 3 ล้านคน
ในขณะเดียวกัน บริการสตรีมมิงอื่น ๆ ของ Disney อย่าง Hulu และ ESPN+ ก็มีผลประกอบการที่ดี โดยมีจำนวนผู้สมัครบริการเพิ่มขึ้น 800,000 คน และ 600,000 คน ตามลำดับ ทำให้ Hulu และ ESPN+ มีผู้สมัครบริการ 48 ล้านคน และ 24.9 ล้านคน ตามลำดับ
ทางด้านไอเกอร์ได้เปิดเผยในระหว่างการรายงานผลประกอบการรายไตรมาสว่า ทางบริษัทพยายามจะสร้างผลกำไรให้แก่ธุรกิจสตรีมมิงมากขึ้น โดยมีแผนจะปรับโครงสร้างบริษัท รวมถึงลดการจ้างงานลง ซึ่งอาจส่งผลทำให้มีการปลดพนักงานกว่า 7,000 คน โดยทางบริษัทได้หยุดจ้างงานพนักงานใหม่มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 ที่ผ่านมาแล้ว
ด้วยจำนวนผู้สมัครบริการที่ลดลง อาจทำให้เป้าหมายของ Disney ที่ต้องการทำให้ Disney+ มีจำนวนผู้สมัครบริการมากถึง 215 – 245 ล้านคน ภายในปี 2024 เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนัก และทำให้ Netflix ที่ครองตลาดสตรีมมิงทั่วโลกด้วยจำนวนผู้สมัครมากกว่า 230 ล้านคน ยังเป็นผู้นำตลาดต่อไป (อย่างน้อยก็ในตอนนี้)
อัพเดทข้อมูลไอทีใหม่ๆ : ข่าวไอที
ผู้สนับสนุน :คลิ๊ก!!